Elastix MT ออกมาตั้งนานแล้วแต่ผมเพิ่งมีโอกาสได้ลองเล่นครับ
โลโก้ของ Elastix MT ครับ
Elastix MT คืออะไร?
ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่าง Elastix MT กับ Elastix 2.5 ก็คือ Elastix MT มันรองรับ Muti-Tenant ครับ ซึ่งแปลว่าบน Elastix MT เราสามารถเซ็ตให้ใช้กับหลายๆบริษัทได้ เหมาะกับเอามาทำเป็น Hosted IP-PBX ให้บริการลูกค้าครับ มีแค่ Elastix MT เครื่องเดียวสามารถเอาไปขายให้หลายๆบริษัทได้ แต่ละบริษัทก็สามารถบริหารจัดการเบอร์ภายในรวมทั้งฟีเจอร์ต่างๆได้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะไม่ปะปนกับบริษัทอื่น เบอร์ภายในก็ตั้งซ้ำๆกันได้ น่าลองเอาไปขายนะครับ...
ส่วน Elastix 2.5 ก็อย่างที่เราๆท่านๆรู้กันอยู่ มันเอามาแบ่งซอยให้หลายๆบริษัทใช้ได้ก็จริงอยู่ถ้าอยากทำ แต่เบอร์ภายในมันใช้ซ้ำกันไม่ได้ครับ อีกอย่างหน้าเว็บก็มีอันเดียวด้วย (แม้ว่าจะตั้งยูสเซอร์เพิ่มได้) ยูสเซอร์แต่ละบริษัทเข้ามาก็ต้องเป็นแอ๊ดมิน เห็นหมดเลย...
เอาหล่ะครับ มาลองติดตั้งใช้งาน Elastix MT กันดีกว่า ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้ง
เข้าเว็บนี้ครับ http://www.elastix.com/en/downloads/
เลือกดาวน์โหลด i386 (32 บิต) หรือ x86_64 (64 บิต) ก็ได้แล้วแต่ cpu ในเครื่องของท่าน
ดาวน์โหลดเสร็จก็ไรท์ใส่แผ่น CD หรือ DVD ก็ได้ แล้วเตรียมตัวติดตั้ง ระหว่างการติดตั้งโปรแกรมจะลบข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เกลี้ยงเลยนะครับ
2. เริ่มติดตั้ง
เซ็ต BIOS ให้บู๊ตจากแผ่น CD/DVD ใส่แผ่นเข้าไปแล้วบู๊ตเครื่อง
ในตัวอย่างต่อไปนี้ผมติดตั้งลงบน VMWare ครับ เพื่อความสะดวกในการแค๊ปเจอร์รูปมาโพสต์ให้ดู
3. ทำตามขั้นตอนที่เห็น
ใช้ปุ่ม Tab ในการเลื่อนตัวเลือก ใช้ปุ่มเว้นวรรคหรือ Spacebar ในการเลือกตัวเลือกต่างๆครับ
3.1 หน้าจอแรกให้กด Enter ผ่านได้เลยครับ
3.2 ต่อมาให้เลือกการตั้งค่า IP ครับ เอาเฉพาะ IPv4 ครับ ส่วน IPv6 ไม่ได้ใช้งานให้เลื่อน Tab ลงมาแล้วกด Spacebar เอาออกได้เลย
3.3 จากนั้นก็ตั้งค่า IP Address, Subnet Mask, Default Gateway และ DNS Server ครับ
3.4 จากนั้นโปรแกรมติดตั้งก็จะฟ้องว่าไม่พบพาร์ติชั่นบนฮาร์ดดิสก์ มันจะสร้างให้ใหม่ ซึ่งในการสร้างพาร์ติชั่นใหม่นี้มันต้องทำการลบข้อมูลทุกอย่างบนฮาร์ดดิสก์ มันให้เรายืนยัน ก็กดปุ่ม Tab เลื่อนตัวเลือกไปที่ "Yes, discard any data" แล้วกด Enter ครับ
3.5 จากนั้นโปรแกรมติดตั้งจะให้เราเลือกภาษาระหว่างการติดตั้ง เลือกเป็น English ครับ (เลือกอยู่แล้ว) กดปุ่ม Enter ได้เลยครับ
3.6 จากนั้นจะให้เราเลือก Keyboard layout หรือรูปแบบการวางปุ่มบนคีย์บอร์ด ก็เอาตามที่โปรแกรมเลือกให้แหล่ะครับคือ U.S English แล้วกดปุ่ม Enter
3.7 จากนั้นเลือก Time Zone ครับ เลือก Asia/Bangkok เพื่อให้เวลาตรงกับประเทศของเรา อย่าลืมติ๊กเลือกตรง "System clock use UTC" นะครับ แล้วกด Enter
3.8 จากนั้นก็มาตั้งพาสเวอร์ดของ root ครับ ซึ่งใช้ตอนล๊อกอินเข้า elastix ด้วย SSH Client หรือทางคีย์บอร์ดที่ต่อกับตัวเครื่อง ตั้งอะไรไว้ก็จำหรือจดไว้ด้วยนะครับเพราะต้องได้ใช้แน่ๆ แล้วกด Enter
3.9 จากนั้นเลือก "Use all space" ครับ คือติดตั้งลงบนพื้นที่ทั้งหมดบนฮาร์ดดิสก์ แล้วกด Enter
3.10 จากนั้นโปรแกรมติดตั้งก็จะฟอร์แม็ตเครื่องแล้วก๊อปไฟล์จากแผ่น CD/DVD ลงบนฮาร์ดดิสก์ รอจนกว่าจะทำเสร็จครับ จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับความเร็วเครื่องครับ
กำลังฟอร์แม็ตฮาร์ดดิสก์
กำลังก๊อบปี้ไฟล์ลงฮาร์ดดิสก์
กำลังติดตั้ง Boot Loader
แล้วรีบู๊ตเครื่อง (มันรีบู๊ตเองครับ เราไม่ต้องทำ)
3.11 หน้าจอแรกตอนบู๊ตเครื่อง
3.12 ตั้งค่า root password ของ MySQL
ตั้งเป็นอะไรก็ได้ครับ ไม่มีข้อกำหนดในการตั้ง พาสเวอร์ดนี้ปกติจะใช้ตอนที่เราเขียนโปรแกรมมาเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล MySQL บน Elastix ครับ (สำหรับคนพอมีฝีมือในการเขียนโปรแกรม) แล้วกด Enter
ใส่ซ้ำอีกครั้งเพื่อกันพลาด แล้วกด Enter
3.13 ตั้งค่าพาสเวอร์ดของ admin ตอนล๊อกอินเข้าหน้าเว็บ Elastix
พาสเวอร์ดนี้มีข้อกำหนดในการตั้งด้วยนะครับ จะตั้งตามใจชอบไม่ได้ ถ้าตั้งไม่ตรงตามเงื่อนไขก็จะมีข้อความฟ้องประจานแบบนี้
ตั้งพาสเวอร์ด แล้วกด Enter
และใส่ซ้ำอีกครั้งเพื่อกันพลาด แล้วกด Enter
สุดท้ายแล้วครับ โปรแกรมสตาร์ทจะเรียกโปรแกรมต่างๆขึ้นมาทำงานตาม รอจนทำเสร็จครับ ก็จะได้หน้าจอล๊อกอินแบบนี้
หน้าจอสีดำๆแบบนี้มีไว้สำหรับล๊อกอินเข้าเครื่องแบบบ command line ครับ โดยใช้ user=root และพาสเวอร์ดตามที่เราได้ตั้งไว้ในข้อที่ 3.8 ครับ ลองล๊อกอินดูครับ
4. ล๊อกอินเข้า Elastix
เป็นธรรมดาครับเมื่อติดตั้งแล้วก่อนที่เราจะทำอะไรต่อไป เราควรจะอัพเดท (อัพเกรด) มันเสียก่อนเพื่อให้ได้เวอร์ชั่นที่ใหม่และปัจจุบันที่สุด แก้บัคอีกต่างหาก ล๊อกอินเข้าเครื่องครับ user=root, password ตามที่ตั้งไว้
ถ้าล๊อกอินผ่านก็จะได้หน้าจอแบบนี้
การล๊อกอินเข้า Elastix (ที่จริงต้องเรียกว่าการล๊อกอินเข้า CentOS เพราะ Elastix ใช้ CentOS เป็นระบบปฏิบัติการ) อาจจะใช้โปรแกรมประเภท SSH Client ก็ได้ครับ เช่น Putty, Bitwise, SecureCRT เป็นต้น
เราก็พร้อมที่จะอัพเดทแล้วครับ
5. อัพเดท Elastix
ที่พร้อมท์ [root@localhost ] พิมพ์คำสั่งว่า yum -y update ครับ แล้วกด Enter
แล้วรอจนอัพเดทเสร็จ ใช้เวลานานพอสมควรครับ โปรแกรมจะตรวจสอบกับเว็บของ Elastix ถ้าพบว่ามีโปรแกรมไหนที่เวอร์ชั่นใหม่ว่าในเครื่องมันก็จะดาวน์โหลดและอัพเดทให้ครับ ยิ่งเน็ตช้าก็ยิ่งใช้เวลานาน
** ถ้าอัพเดทไม่ผ่านลองดูบทความนี้ก่อนครับ เผื่อว่าจะเจอปัญหาอย่างเดียวกัน เทคนิคการแก้ปัญหาเมื่ออัพเดท Elastix MT ไม่ผ่าน **
รอจนเสร็จครับ จากนั้นรีบู๊ตเครื่อง ซึ่งเราต้องรีบู๊ตเองครับ คำสั่งก็ไม่ยากครับ ตรงไปตรงมา พิมพ์คำสั่ง reboot บนพร้อมท์แล้วกด Enter
5. ล๊อกอินเข้าหน้าเว็บ Elastix MT
เปิด Web Browser อะไรก็ได้ แนะนำว่าควรเป็น Google Chrome หรือไม่ก็ Firefox ครับ พิมพ์ไอพีของ Elastix แล้วกด Enter จะเห็นหน้าจอล๊อกอินแบบนี้
ใส่ Username เป็น admin ส่วนพาสเวอร์ดก็ตามที่เราตั้งไว้ในข้อที่ 3.13 ครับ แล้วกด Enter จะปราฏหน้าจอหลักของ Elastix หรือที่เรียกว่า Dashboard ตามรูปครับ
ุ6.รันคำสั่งนี้เพื่อให้ Elastix MT ตั้งค่าคอนฟิก Kamailio
- โค้ด: เลือกทั้งหมด
/usr/sbin/elastix-setup-kamailio-rtpproxy
เมื่อเรารันคำสั่งนี้ Elastix MT จะไปเพิ่มบรรทัด import_file "kamailio-mhomed-elastix.cfg" ไว้ในไฟล์ /etc/kamailio/kamailio.conf
และอย่าลืมเช็คในไฟล์ /etc/kamailio/kamailio-mhomed-elastix.cfg และไฟล์ /etc/sysconfig/rtpproxy-multi ว่าไอพีแอดเดรสในไฟล์ถูกต้องหรือไม่
ุ7. ไฟล์คอนฟิกของ Elastix MT
Elastix MT เก็บคอนฟิกในการเชื่อมต่อกับดาต้าเบสและ Asterisk ไว้ในไฟล์นี้ครับ
/var/www/elastixdir/asteriskconf/elastix_pbx.conf
ก็เป็นอันว่าเสร็จสิ้นขั้นตอนการติดตั้ง Elastix MT แล้วครับ ลำดับต่อไปก็ต้องเข้าหน้าเว็บไปคอนฟิกใช้งานต่อไปครับ ไว้มีโอกาสผมจะมาแนะนำวิธีการคอนฟิกใช้งาน Elastix MT ครับ
บทความที่เกี่ยวข้อง
เปิดบริการ อบรม Elastix ด้วยคอร์สพิเศษ ให้ติดตั้ง คอนฟิกคล่อง ใช้งานคล่อง ได้ใน 3 วัน
เทคนิคการแก้ปัญหาเมื่ออัพเดท Elastix MT ไม่ผ่าน
เมนูใน Elastix MT
เทคนิคการสร้าง Organization บน Elastix MT
เทคนิคการติดตั้ง Elastix 2.5
เทคนิคการติดตั้ง Asterisk 14.4.0 + +TLS + SRTP + DAHDI 2.11.1 + G.729 บน CentOS 7
เทคนิคการดาวน์โหลดไฟล์เสียง mp3 จากเว็บ TTS (ใหม่)