ต้องบอกว่า Codec ที่มีมากับ Elastix (หรือถ้าจะเรียกให้ถูก ต้องเรียกว่า Codec ที่ติดตั้งมาพร้อมๆกับ Asterisk) ไม่ค่อยจะเหมาะต่อการนำไปใช้งานเท่าไหร่ครับโดยเฉพาะตอนที่ใช้งานผ่าน Internet หรือไม่ก็ต้องเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการหรือให้บริการลูกค้าในเชิงพานิชย์ เรามาติดตั้ง Codec G.723.1 แล้วก็ G.729 กันดีกว่า ของฟรีด้วยครับ เมื่อติดตั้งทั้งสองโคเด็คนี้แล้ว ก็จะใช้ G.723.1 และ G.729 ได้ทั้งแบบ Transparent และ Transcode ครับ ใช้งานก็เยี่ยมเลย เงินก็ไม่ต้องเสีย ตามผมมาเลย
** หลายๆท่านโดยเฉพาะท่านที่เพิ่งเข้ามาสู่วงการ VoIP หรือ Asterisk ใหม่ๆ อาจจะเคยได้ยินคำว่า G.729 License มาบ้าง ไม่ต้องห่วงนะครับว่าทำตามบทความต่อไปนี้แล้ว ท่านจะกลายเป็นคนที่ใช้งาน G.723, G.729 อย่างไม่ถูกต้อง สบายใจได้ครับ ไม่ต้องจ่ายเงินค่า License ให้ใคร เพราะ Codec ที่เรากำลังจะติดตั้งนี้ มันเป็น Open source และมีคนใจดีเอามาคอมไพล์ให้เราใช้งาน แต่ถ้าท่านอยากจะให้กำลังใจคนทำ ในเว็บไซต์ที่ดาวน์โหลดจะมีให้ Donate อยู่ **
งานนี้ต้องอาศัยความรู้ทางด้านเทคนิคเล็กน้อยครับ ต้องใช้โปรแกรมช่วยด้วย เช่น PuTTY, FileZilla โดยเราจะใช้ PuTTY รีโมทเข้าเซอร์เวอร์ เพื่อติดตั้งและตรวจสอบผล และใช้ FileZilla อัพโหลดไฟล์เข้าเซอร์เวอร์ ซึ่งผมก็ได้แนะนำวิธีการใช้งานไปแล้วนะครับ หาอ่านรายละเอียดได้ที่กระทู้อื่น ไม่ต้องกังวลใจไปครับ ทำได้แน่ๆ ค่อยๆอ่านในสิ่งที่ผมจะแนะนำต่อไปนี้
ก่อนที่เราจะดาวน์โหลดโคเด็ค G.723.1 และ G.729 มาติดตั้ง เราต้องรู้ข้อมูลภายในเครื่อง Elastix ของเราก่อนครับ เช่น ใช้ Asterisk เวอร์ชั่นอะไรและใช้ CPU แบบไหน ดังนี้ครับ
1. ตรวจสอบเวอร์ชั่นของ Asterisk ในเครื่อง
เราจำเป็นต้องรู้ว่าตอนนี้ Elastix ของเราใช้ Asterisk เวอร์ชั่นอะไร วิธีการมีดังนี้ครับ
1.1 ใช้ PuTTY รีโมทเข้าไปที่ไอพีแอดเดรสของ Elastix ก่อนครับ
พร้อมท์ที่แสดงในรูปคือ [root@callcenter] # นั้น คำแรก "root" เป็นยูสเซอร์เนมนะครับ ส่วนคำหลัง "callcenter" เป็นชื่อเครื่องเซอร์เวอร์ ดังนั้นเครื่องของคุณอาจจะแสดงเป็นแบบอื่น เช่น [root@localhost] # เป็นต้น ถ้าไม่เหมือนผมก็ไม่ต้องแปลกใจครับ
พร้อมท์ที่เราเห็น เป็นพร้อมท์ของ CentOS Linux ครับ
1.2 พิมพ์คำสั่ง asterisk -r ดังรูป แล้วดูตัวเลขแสดงเวอร์ชั่น ดังรูป
เวอร์ชั่นคือ 1.4.22-rc5 หรือเรียกสั้นๆว่าเวอร์ชั่น 1.4 ก็ได้ครับ
พร้อมท์ "callcenter*CLI" นี้เราเรียกว่า "Asterisk Console" นะครับ โดยที่ "callcenter" เป็นชื่อเครื่องเซอร์เวอร์ที่ผมตั้งให้ (ผมใช้เครื่องนี้ทำงานเป็น Callcenter ผมก็เลยตั้งชื่อมันว่า callcenter ) ถ้าคุณไม่ได้เปลี่ยนชื่อเครื่อง ใช้ชื่อดีฟอลท์ ก็จะได้พร้อมท์เป็น "localhost*CLI" ครับ
1.3 กดปุ่ม "Ctrl+C" (กดปุ่ม Control ค้างไว้ แล้วกดปุ่ม c ตาม) หรือพิมพ์ exit เพื่อออกจาก Asterisk Console ครับ
พร้อมท์จะกลับมาเป็นของ CentOS Linux ครับ
1.4 หรือจะพิมพ์ exit อีกครั้งเพื่อออกจาก CentOS Linux ก็ได้นะครับ
เทคนิคการติดตั้ง Asterisk 17.x + DAHDI 3.1.0 บน CentOS 7