เอาแบบพอจะนึกได้นะครับ...
คุณภาพของ VoIP ถ้าวัดกันแบบง่ายๆเลย อาศัยความรู้สึก ก็คือ ดูว่าโทรติดเร็วมั๊ย โทรติดทุกครั้ง และฟังเสียงระหว่างที่กำลังสนทนากับปลายทาง ถ้าเสียงชัดเจนดี ไม่มีดีเลย์ ไม่มีเสียงก้อง นั่นแสดงว่ามีคุณภาพดีครับ ถ้าไม่ก็แสดงว่าคุณภาพไม่ดี
ตัวแปรที่จะมีผลต่อคุณภาพของ VoIP ก็ได้แก่
1. อุปกรณ์ VoIP
2. อุปกรณ์เน็ตเวอร์ค
3. ลิ้งค์ Internet (หรือ Intranet)
4. ผู้ให้บริการ VoIP
ตัวแปรที่มีผลกระทบมากที่สุดคือ Link ครับไม่ว่าจะเป็น Internet หรือว่า Intranet ก็ตาม ถ้าต้นทางและปลายทางอยู่ในวง Lan เดียวกัน ก็จะไม่มีปัญหากับคุณภาพของ VoIP เพราะ Bandwidth เหลือเฟือและก็นิ่งด้วย ถ้าผ่าน Intranet ก็อาจมีผลกระทบบ้างในเรื่องของความเสถียรของลิ้งค์และแบนวิดธ์ที่ต้องแชร์ร่วมไปกับข้อมูลอย่างอื่นด้วย แต่เราก็สามารถกันแบนวิดธ์ให้เฉพาะ Voice ได้ แต่ถ้าต้องผ่าน Internet แล้วหล่ะก็เราควบคุมมันไม่ได้ทั้งความเสถียรและแบนวิดธ์ ถ้าต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายโดยใช้ Internet ที่ไม่รับประกันแบนวิดธ์อาจต้องเจอกับปัญหาการใช้งาน เสียงขาดหาย เสียงสะดุด เสียงก้อง ซึ่งอาจต้องลองเสี่ยงใช้งานดู ถ้าเห็นว่าไม่ไหวแล้วก็ลองเปลี่ยนการบริการไปเป็นแบบรับประกันแบนวิดธ์ ถึงแม้ทางผู้ให้บริการจะรับประกันแบนวิดธ์ก็ตาม คงไม่ได้หมายความว่ารับประกันตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง โดยเฉพาะถ้าเป็นอินเตอร์เน็ตคนละเครือข่ายกัน ถ้า Bandwidth จากต้นทางถึงปลายทางมันมีไม่พอต่อความต้องการ ก็จะมีผลต่อการใช้งาน VoIP ทันทีเลยครับ
ตัวแปรต่อมาคืออุปกรณ์ VoIP ซึ่งถึงแม้ว่าปัจจุบันผู้ผลิตจะพัฒนาอุปกรณ์ของตนให้มีความสามารถ ทนทาน เสถียร มากขึ้น แต่อุปกรณ์พวกนี้ก็มีหลายเกรดครับ ตั้งแต่ราคาถูกๆไปจนถึงราคาแพงๆ ซึ่งอุปกรณ์ที่มีราคาถูกมันก็เสถียรไม่เท่ากับอุปกรณ์ราคาแพง ใช้งานไปแล้วร้อนแล้วก็แฮ้งค์ต้องรีเซ็ตใหม่ หรือไม่ก็เสียบ่อย มันก็มีผลรบกวนต่อการใช้งาน VoIP เช่นเดียวกันครับ
ส่วนอุปกรณ์เน็ตเวอร์คก็มีผลบ้าง ผมหมายถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในฝั่งของผู้ใช้งานนะครับ เช่น ADSL Router, Switch เป็นต้น ที่ผมเคยเจอปัญหามาส่วนใหญ่แล้วจะเป็นที่ Router ครับ เร้าท์เตอร์ร้อนจนแฮ้งค์บ้าง หรือพอใช้งาน VoIP มันรีเซ็ตบ้าง บางทีมันบล๊อกพอร์ต VoIP เองบ้างจนต้องรีเซ็ตเครื่องใหม่ก็มี
สำหรับผู้ให้บริการ VoIP ก็มีส่วนครับ ซึ่งผู้ให้บริการก็อยากจะได้กำไรจากการให้บริการมาก บางครั้งก็เอา VoIP ราคาถูกๆจากต่างประเทศมาขายให้ลูกค้า เก็บค่าบริการถูกกว่าคู่แข่ง (เพราะต้นทุนตัวเองต่ำกว่า) แต่เวลาลูกค้าใช้งานแล้วคาดหวังคุณภาพไม่ได้ ตอนนี้ก็มีผู้ให้บริการแบบนี้อยู่มากมายครับ
เวลาผมเทสคุณภาพของ VoIP ผ่านผู้ให้บริการต่างๆ ผมจะเทสอยู่ 3-4 อย่างคือ
1. ค่า PDD ย่อมาจาก Post Dial Delay คือระยะเวลาเป็นวินาทีเริ่มนับตั้งแต่กดเบอร์โทรออกจนได้สัญญาณ Ring Back Tone จากปลายทาง ซึ่งต้องเป็น Ring Tone จริงๆไม่ใช่ Ring Tone หลอก ค่านี้ไม่ให้เกิน 5 วินาทีสำหรับเบอร์ปลายทางในประเทศไทย และ 10 วินาทีสำหรับเบอร์ปลายทางในต่างประเทศ ค่ายิ่งน้อยแสดงว่าโทรติดเร็ว แบบนี้ลูกค้าชอบครับ คุณภาพดี
2. ค่า ASR ย่อมาจาก Answer Seized Ratio เป็นค่า % ที่ปลายทางรับสาย หามาจากเอาจำนวนคอลที่มีคนรับสายหารด้วยจำนวนคอลที่โทรออกไป คูณด้วย 100 ค่านี้ยิ่งมากยิ่งดีซึ่งแสดงว่าคุณภาพดี ค่านี้เมื่อก่อน 50% ก็ถือว่ามากมายแล้ว แต่ตอนนี้มีการพัฒนาขึ้นมากไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอุปกรณ์ VoIP หรือลิ้งค์อินเตอร์เน็ต ทำให้ค่า ASR สูงขึ้น
3. Repeate Rate อัตราการโทรซ้ำเป็นอย่างไร เบอร์เดียวกันถ้าโทรหลายครั้งติดๆกันจะโทรได้ทุกครั้งหรือไม่
4. Quality คุณภาพเสียงขณะที่คุย มีเสียงซ่า เสียงก้อง เสียงขาดหายหรือ
ปัจจุบันมีอุปกรณ์หรือโปรแกรมที่จะวัดคุณภาพของ VoIP ออกมาแล้ว ไว้ผมจะดูแล้วจะเอามาโพสต์อีกครับ ส่วน
SIP-I, SIP-T นี่ก็ติดไว้อีกครับ ผมไม่ค่อยถนัดเรื่อง SIP ใหญ่ๆระดับการเชื่อมต่อแบบชุมสายหรือ SS7 เพราะไม่มีให้ลองหน่ะครับ ไว้ผมจะอ่านแล้วเอามาโพสต์